การตลาดยุคใหม่ ไม่ใช่ขายของ แต่ขาย ‘ความพิเศษเฉพาะคุณ’

การตลาดยุคใหม่ ไม่ใช่ขายของ แต่ขาย ‘ความพิเศษเฉพาะคุณ’

Business

2 นาที

25 ก.ย. 2025

แชร์

ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมายและสามารถเปลี่ยนใจได้ง่าย การที่แบรนด์จะชนะใจลูกค้าได้นั้น ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่คือ การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “เราใส่ใจเขาเป็นพิเศษ”

คุณบี สโรจ เลาหศิริ, Marketing Transformation Consultant และเจ้าของเพจ สโรจขบคิดการตลาด ได้ชี้ให้เห็นในงาน #TDANEXT2025 ว่า Personalization ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ทางการตลาด แต่คือหัวใจของความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในระยะยาว

ทำไม Personalization ถึงสำคัญ?

การทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “แบรนด์เข้าใจเขา” ไม่ได้แค่เพิ่มยอดขายระยะสั้น แต่สร้างคุณค่าในหลายมิติ ได้แก่:
▪️ เพิ่มมูลค่าตลอดชีวิตลูกค้า (Customer Lifetime Value – CLV): ลูกค้าที่รู้สึกพิเศษจะซื้อซ้ำและอยู่กับแบรนด์นานขึ้น
▪️ สร้างความสัมพันธ์ (Relation): ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ใช่เพียง “อีกหนึ่งคน” แต่เป็น “คนสำคัญ
▪️ เพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency): ช่วยประหยัดเวลาและแก้ปัญหาได้ตรงจุด
▪️ มอบประสบการณ์ (Experience): ทำให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบเส้นทางการซื้อ

Data คือหัวใจ: 4 มิติที่ต้องเข้าใจลูกค้า

Personalization ไม่ได้เกิดจากการรู้ข้อมูลพื้นฐานอย่าง ชื่อ อายุ หรือรายได้ เท่านั้น แต่ต้องผสานข้อมูลหลายมิติให้ลึกและแม่นยำมากขึ้น
1. Demographic Data: เพศ, อายุ, ที่อยู่, รายได้ (ระดับพื้นฐาน)
2. Behavioral Data: พฤติกรรมการซื้อ, Customer Journey, กิจกรรมทั้งออนไลน์และออฟไลน์
3. Predictive Data: การคาดการณ์พฤติกรรมและความต้องการในอนาคต เช่น การคาดว่าลูกค้าจะสนใจสินค้าใดต่อไป
4. Context Data: ข้อมูลเชิงสถานการณ์ เช่น เวลา สถานที่ อารมณ์ หรือกิจกรรม ณ ขณะนั้น

Insight สำคัญคือ เราต้องรู้ไม่ใช่แค่ว่า “ลูกค้าชอบอะไร” แต่ต้องรู้ด้วยว่า “ทำไมเขาต้องการสิ่งนั้น”

ตัวอย่างการทำ Hyper-Personalization

▪️ Pedigree: ใช้ข้อมูลเพื่อยิงโฆษณาสุนัขจรจัดที่ “ตรงใจ” คนมีบ้านและพร้อมเลี้ยงจริง ๆ เพิ่มโอกาสในการรับเลี้ยง
▪️ L’Oreal Dose: ให้ลูกค้าตรวจสุขภาพผิว และผลิตสกินแคร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแต่ละคน เป็นการตลาด “1 ต่อ 1” อย่างแท้จริง

เส้นทางสู่ Hyper-Personalization (Maturity Model)

องค์กรไม่สามารถกระโดดไปสู่การทำ Hyper-Personalization ได้ทันที แต่ต้องเดินตามขั้นบันไดพัฒนาความสามารถ ดังนี้:
▪️ Basic Data Collection: เก็บข้อมูลพื้นฐาน
▪️ Rule-based: ทำแคมเปญจากกฎง่าย ๆ เช่น วันเกิด
▪️ Behavior Patterns: วิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมลูกค้า
▪️ Behavioral Predictions: ทำนายพฤติกรรมในอนาคต
▪️ AI-Driven Personalization: ใช้ AI เต็มรูปแบบ เพื่อทำ Personalization ที่แม่นยำและ scale ได้จริง

หัวใจของเส้นทางนี้คือ การสร้างรากฐาน Data & Analytics ที่แข็งแรง ถ้าไม่มีฐานข้อมูลที่ดี การทำ Hyper-Personalization ในระดับใหญ่ (at scale) ก็เป็นไปไม่ได้

จาก One-to-Many สู่ One-to-One

สิ่งที่คุณบีเน้นคือ แบรนด์ต้อง เร่งเปลี่ยนจากการตลาดที่สื่อสาร “กว้าง ๆ” (one-to-many) ไปสู่การตลาดที่ รู้ใจและเฉพาะบุคคล (one-to-few, one-to-one) ให้เร็วที่สุด เพราะนี่คือ ความแตกต่างที่จะทำให้ลูกค้าเลือกอยู่กับเรา ไม่ใช่คู่แข่ง

Insight สุดท้าย: Hyper-Personalization ไม่ใช่แค่เครื่องมือการตลาด แต่คือ “การสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้ลูกค้า ผ่านการเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง” และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “นี่คือแบรนด์ที่เข้าใจฉันที่สุด”

—–

📌  สนใจยกระดับทักษะองค์กรด้วย AI-People Enablement Solutions เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำทางธุรกิจในยุคที่ AI Disruption ให้ TDA เป็นที่ปรึกษาด้าน Corporate In-House Training 
👉
ติดต่อ [email protected] หรือโทร 082-297-9915 (คุณโรส)