สรุปแบบเข้าใจง่าย Digital Transformation vs AI Transformation ต่างกันตรงไหน? ธุรกิจควรโฟกัสอะไรก่อน
สรุปแบบเข้าใจง่าย Digital Transformation vs AI Transformation ต่างกันตรงไหน? ธุรกิจควรโฟกัสอะไรก่อน
Business
4 Min
23 ก.ค. 2025
Share
Table of contents
ตั้งแต่ช่วงการระบาดของ Covid-19 เป็นต้นมา หลายองค์กรยังคงเดินหน้ากับการทำ “Digital Transformation” ที่ยังไม่ทันได้ปรับตัวเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน “AI Transformation” ก็กลายเป็นความท้าทายใหม่ที่หลายธุรกิจต้องเผชิญ
คำถามสำคัญคือการทรานฟอร์มองค์กรทั้ง 2 แบบนี้ต่างกันยังไง? และต้องทำทั้งสองอย่างเลยหรือเปล่า?
สำหรับผู้นำองค์กรหรือเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาทิศทางที่ชัดเจน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจความแตกต่างของ AI Transformation กับ Digital Transformation พร้อมแนะนำแนวทางปรับตัวให้ทันยุคไปพร้อมกันอย่างมั่นใจ แม้ไม่ใช่สายเทคโนโลยี
Digital Transformation vs AI Transformation ต่างกันตรงไหน?
แม้ทั้งสองแนวคิดจะดูคล้ายกัน เพราะต่างก็เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ แต่เป้าหมาย วิธีการ และผลลัพธ์ ของทั้งสองแบบนี้ “ต่างกันชัดเจน”
💡 Digital Transformation: ปูพื้นฐานธุรกิจให้เป็นดิจิทัล
เป้าหมายหลัก: ทำให้ธุรกิจเป็น “ดิจิทัลมากขึ้น” โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการและทุกส่วนขององค์กร พร้อมสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเบื้องต้นให้กับบุคลากร
สิ่งที่องค์กรต้องทำ:
✅ เปลี่ยนจาก Analog สู่ Digital เช่น เปลี่ยนจากการใช้กระดาษมาเป็นไฟล์ดิจิทัลเก็บในระบบคลาวด์ หรือใช้ซอฟต์แวร์บัญชีแทนการทำมือ
✅ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เน้นการใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อลดงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความรวดเร็ว เช่น การนำระบบ CRM (Customer Relationship Management) หรือ ERP (Enterprise Resource Planning) มาใช้
✅ ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า สร้างช่องทางดิจิทัลให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น เช่น Website, แอปพลิเคชันมือถือ, หรือการใช้ Social Media ในการสื่อสาร
✅สร้างพื้นฐานข้อมูล เริ่มต้นเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้
💡 AI Transformation: ยกระดับ “ความฉลาด” ให้ธุรกิจด้วย AI
เป้าหมายหลัก: ทำให้องค์กร “ฉลาดขึ้น” ด้วยการผสานรวม AI เข้าไปในกระบวนการหลัก เพื่อให้สามารถเรียนรู้ ปรับตัว และตัดสินใจได้เองอย่างชาญฉลาด ทำงานได้เร็วขึ้น
สิ่งที่องค์กรต้องทำ:
✅ ใช้ข้อมูลเพื่อคิดและตัดสินใจ AI จะนำข้อมูลดิจิทัลที่ได้จากการทำ Digital Transformation มาวิเคราะห์ คาดการณ์ และสร้างการดำเนินการอัตโนมัติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
✅ การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics) เช่น การทำนายยอดขายในอนาคต, การคาดเดาพฤติกรรมลูกค้า หรือแนวโน้มตลาด
✅ ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Automation) ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง แต่ AI สามารถเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานของตัวเองได้ เช่น แชทบอตที่สามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนขึ้น หรือระบบที่คัดแยกอีเมลพร้อมเรียนรู้จากผู้ใช้งาน
✅ การสร้างสรรค์ (Generative AI) ใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาใหม่ เช่น บทความทางการตลาด, ข้อความโฆษณา, รูปภาพ หรือแม้กระทั่งไอเดียผลิตภัณฑ์ใหม่
✅ การตัดสินใจแบบ Real-time ระบบ AI สามารถตัดสินใจได้ทันทีจากข้อมูลที่เข้ามา เช่น การอนุมัติสินเชื่อ หรือการตรวจจับการฉ้อโกง
✅ ยกระดับนวัตกรรม AI ไม่เพียงช่วยปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ แต่ยังช่วยค้นพบโอกาสใหม่และสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนได้
✅ ปลดล็อกศักยภาพบุคลากร จัดการงานที่ซ้ำซาก หรืองานที่ต้องใช้เวลาวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ทำให้พนักงานมีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหา และการวางกลยุทธ์มากขึ้น
สรุปความต่าง:
➡️ Digital Transformation คือการ “ปูพื้นฐาน” ให้องค์กรมีโครงสร้างและกระบวนการที่เป็นดิจิทัล พร้อมสำหรับการก้าวต่อไป
➡️ AI Transformation คือการ “ต่อยอดความฉลาด” จากรากฐานดิจิทัล โดยใช้ AI เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนการเรียนรู้ การคาดการณ์ และการตัดสินใจ
ทำไมองค์กรต้องเร่งทำ AI Transformation ตอนนี้?
📍 AI สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
จากงานวิจัยพบว่า 45% ของบริษัทรายงานว่าประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นสองเท่าจากการใช้ Generative AI และ 52% เห็นการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินงานที่เหนือความคาดหมายในตอนแรกอย่างมาก
📍 การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ
AI ไม่ใช่แค่ “สิ่งที่มีแล้วดี” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “สิ่งจำเป็น” เพื่อความอยู่รอดในการแข่งขัน ทั้งลดเวลาทำงาน ลดข้อผิดพลาด เข้าใจลูกค้าได้ลึกขึ้น และสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ก่อนคู่แข่ง
📍ความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์ที่เฉพาะตัว ราบรื่น และรวดเร็ว ช่วยให้ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ เช่น การตอบคำถามลูกค้าแบบทันที การแนะนำสินค้าที่เข้าใจความต้องการ
📍ช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ
AI ช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ซ้ำซาก น่าเบื่อ และใช้เวลา ทำให้คนเก่งมีเวลาไปโฟกัสกับงานด้านความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และงานเชิงกลยุทธ์ที่ท้าทายมากขึ้น เพิ่มความสุขและความผูกพันในการทำงาน
Use Cases จริงที่องค์กรใช้ AI ประสบความสำเร็จ
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของ AI Transformation ที่พบบ่อยคือ ผู้นำองค์กรยังขาดความเข้าใจว่าจะนำ AI มาใช้แก้ปัญหาทางธุรกิจหรือสร้างมูลค่าได้อย่างไร และ AI มักถูกผลักให้เป็นหน้าที่ของแผนก IT เท่านั้น แทนที่จะเป็นการริเริ่มที่ขับเคลื่อนโดยธุรกิจและได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง
มีผลการสำรวจที่น่าตกใจจากรายงานของ Adecco Group ผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลระดับโลก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้ทำการสำรวจผู้นำองค์กรระดับ C-level กว่า 2,000 คน จาก 17 อุสาหกรรมใน 13 ประเทศทั่วโลก พบว่า
🔻 มีผู้นำองค์กรเพียง 10% เท่านั้นที่บอกว่า พร้อมรับมือกับ AI Disruption
🔻 ผู้นำกว่า 60% คาดหวังให้พนักงานพัฒนาทักษะเพื่อรองรับ AI แต่มีบริษัทถึง 34% กลับยังไม่มีนโยบายรองรับการใช้ AI ในที่ทำงาน
🔻 มีผู้นำเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ได้พัฒนาความสามารถด้าน AI ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างความคาดหวังและความเป็นจริง ที่ผู้นำเองยังไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ กล่าวคือ องค์กรจะเดินหน้าได้ “ผู้นำต้องเริ่มก่อน”
เรียนรู้การวางกลยุทธ์ AI สำหรับผู้นำองค์กรยุคใหม่
หากคุณเป็นผู้นำองค์กรหรือเจ้าของธุรกิจที่อยากเข้าใจเครื่องมือ AI ต่าง ๆ ให้มากขึ้น เขียน Prompt เองใช้เองคล่อง ออกแบบ AI Agent ไปใช้ช่วยทีม ไปจนถึงการวางวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ด้าน AI เพื่อนำพาองค์กรเปลี่ยนผ่านยุคได้อย่างมั่นใจ ห้ามพลาด! TDAI | Transform & Driving AI Impact for Success คอร์สเรียนที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้นำองค์กร ทีมบริหาร และคนทำธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานเชิงเทคนิคก็เรียนได้
📌 ดูรายละเอียดคอร์สเรียนและสมัครเรียนที่นี่ : https://www.truedigitalacademy.com/course/tdai
——
Sources:
https://www.adeccogroup.com/our-group/media/press-releases/only-ten-percent-of-c-suite-leaders-say-their-companies-are-ready-for-ai-disruption
https://monday.com/blog/project-management/ai-transformation/