เจาะอินไซต์ LGBTQ+ ด้วย Data Analytics ทางลัดสู่ตลาดใหม่ในยุคเศรษฐกิจสีชมพู

เจาะอินไซต์ LGBTQ+ ด้วย Data Analytics ทางลัดสู่ตลาดใหม่ในยุคเศรษฐกิจสีชมพู

Data

6 Min

05 Jun 2025

Share

หรือ LGBTQ+ กำลังจะเป็นหนึ่งในกำลังซื้อสำคัญในยุคนี้ ?

จากรายงานปี 2024 ของ LGBT Capital (บริษัทการเงินที่เน้นการลงทุนในตลาด LGBT) เผยว่า มูลค่ากำลังซื้อของกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลก พุ่งสูงถึง 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีพลังการใช้จ่ายเติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา และการเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของตลาดนี้ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ จะทำให้แบรนด์มี “โอกาสทางธุรกิจ” มากขึ้น

ซึ่งพลังการจับจ่ายของกลุ่ม LGBTQ+ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จะทำให้แบรนด์ที่เข้าใจวิธีการสื่อสารอย่างจริงใจ (Authentically Connect) จะสามารถเข้าไปครองใจตลาดกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก

และเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึง Insight เข้าใจวิธีการสื่อสารได้อย่างตรงจุด คือการใช้ Data Analytics ในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้มข้นด้วยเช่นเดียวกัน

เข้าใจ “Pink Economy” คืออะไร เสิร์ฟตลาด LGBTQ+ แบบไม่เม็ด

คำว่า “Pink Economy” หรือ “เศรษฐกิจสีชมพู” ถูกใช้ครั้งแรกตั้งแต่ราว ๆ ช่วง 1960s เพื่ออธิบายถึงพลังทางเศรษฐกิจของกลุ่ม LGBTQ+ โดยหมายถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ที่กำลังจะเป็นกำลังซื้อมหาศาล

แม้แต่ในประเทศไทย หลาย ๆ ธุรกิจเองก็มองว่า LGBTQ+ คือ กลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ด้วยพลังการใช้จ่ายที่สูง ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ และความต้องการที่หลากหลายแต่เฉพาะเจาะจง

ทำไมต้องใช้ Insight เจาะตลาด LGBTQ+

แม้ตลาด LGBTQ+ จะขยายตัวต่อเนื่อง แต่แบรนด์ต้องหา Insight เข้าใจถึงความต้องการและลักษณะเฉพาะของคนกลุ่มนี้ให้ได้ ทั้งในเชิงจิตวิทยาและพฤติกรรมทางการเงินเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างแคมเปญการตลาดที่ “โดนใจ” และ “ได้ใจ” ไปพร้อมกัน

โดยเว็บไซต์ nickwolny ได้พูดถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อการใช้จ่ายของกลุ่ม LGBTQ+ ดังนี้

👶🏻 1. “Child-Free” หลายคนอาจไม่ต้องการมีลูก

หลายคนเลือกที่จะไม่มีลูก แต่ไม่ใช่ว่า “ไม่อยากมี” แต่เพราะข้อจำกัดเรื่องกฎหมายและการยอมรับในสังคม ทำให้มีงบประมาณสำหรับใช้จ่ายส่วนตัวที่อาจแตกต่างจากครอบครัวทั่วไป เช่น การท่องเที่ยว การดูแลสุขภาพ หรือไลฟ์สไตล์เฉพาะ

🏢 2. ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่เพื่อความปลอดภัยและการยอมรับ

การย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องอาชีพหรือการศึกษา แต่เป็นการแสวงหาพื้นที่ที่เปิดรับความหลากหลาย ให้ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ส่งผลต่อรูปแบบการใช้จ่ายที่เน้นไปที่คุณภาพชีวิต เช่น ที่อยู่อาศัย อาหาร แฟชั่น และประสบการณ์

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลการสำรวจที่น่าสนใจของ กลุ่ม LGBTQ+ เช่น
 • มีแนวโน้มทำพินัยกรรมน้อยกว่าครึ่งของกลุ่ม Straight
 • กว่า 50% มีปัญหาในการออมเงิน
 • มีแนวโน้มทดลองลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คริปโตฯ (Cryptocurrency)
 • นิยมหารายได้เสริม หรือเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มรายได้และความมั่นคงในชีวิต

Data แบบไหนที่ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรม LGBTQ+ ได้ลึกกว่าเดิม

เมื่อกลุ่ม LGBTQ+ กำลังกลายเป็น “พลังเศรษฐกิจใหม่” ที่ขับเคลื่อนตลาดในหลายประเทศ หากแบรนด์อยากเข้าถึงพวกเขาอย่างจริงใจและไม่หลงทิศทาง ต้องเริ่มจาก “ข้อมูลที่มีบริบท” และการใช้ Data Analytics ที่แม่นยำ

แล้วถ้าเราเป็นแบรนด์ เราควรวิเคราะห์ “ข้อมูลประเภทไหน” เพื่อเข้าถึงกลุ่มนี้ได้จริง มาดูกัน

1. Demographic Data ที่ไม่หยุดแค่ M/F

 • เพศสภาพ (Gender Identity) : ไม่จำกัดแค่ Male หรือ Female แต่รวมถึง Non-binary, Genderfluid, Transgender
 • อายุ: กลุ่ม Gen Z และ Millennials มีอัตราการเปิดเผยตัวตนมากขึ้น
 • พื้นที่: กลุ่ม LGBTQ+ มักอาศัยในเมืองใหญ่ หรือพื้นที่ที่เปิดกว้างทางความคิด

2. Psychographic Data: ค่านิยม ความเชื่อ และแรงจูงใจ

 • ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่สนับสนุนความเท่าเทียม
 • ชอบแบรนด์ที่ “ไม่ตีกรอบเพศ” และออกแบบสินค้าและบริการแบบ Inclusive ที่ทุกคนใช้ได้
 • เลือกซื้อสินค้าที่สร้าง Social Impact หรือส่งเสริมความหลากหลาย

3. Behavioral Data: พฤติกรรมการใช้จ่ายและการมีส่วนร่วม

 • ช่องทางที่นิยม เช่น ออนไลน์, ร้านจริง, หรือแพลตฟอร์มเฉพาะ
 • สินค้าและบริการที่นิยม เช่น แฟชั่น, ความงาม, เทคโนโลยี, ไลฟ์สไตล์
 • ช่องทางติดตามแบรนด์ เช่น TikTok, Instagram, Twitter, หรือ Community
 • ช่วงเวลาที่ Engagement สูง เช่น เดือน Pride, แคมเปญ Diversity/Equality ส่งเสริมความหลากหลาย และ ความเท่าเทียม ในสังคม

4. Sentiment Analysis: วิเคราะห์ความคิดเห็นจาก Social listening tools

ใช้เครื่องมืออย่าง Google Trends หรือ Wisesight Trend เพื่อติดตามการพูดถึงแบรนด์, ประเด็นความเท่าเทียม, หรือแคมเปญ Pride ต่าง ๆ รวมถึง Social Listening Tools เพื่อเข้าใจภาพลักษณ์แบรนด์จากมุมมอง LGBTQ+

ตัวอย่าง Case Study จากแบรนด์ปัง! ใช้ Data Analytics ถึงใจตลาด LGBTQ+

ไม่ใช่ทุกแคมเปญ Pride จะ “ปัง” ได้เท่ากัน เพราะแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจริงมักเริ่มจาก “ข้อมูล” ไม่ใช่ “ความรู้สึก” ลองมาถอดตัวอย่าง 3 แบรนด์ระดับโลกที่ใช้ Data Analytics ขุด Insight แล้วนำมาสร้างแคมเปญที่โดนใจแบบถึงแก่น

👟 Adidas : ออกแบบแคมเปญ Pride จาก Insight พฤติกรรมผู้บริโภค

ในปี 2024 Adidas ได้เปิดตัวคอลเลกชั่น “Pride” ที่ออกแบบรองเท้า เสื้อผ้า และแอคเซสซอรีต่าง ๆ ร่วมกับ Pabllo Vittar นักร้องและแดร็กควีนชาวบราซิล เนื่องจากได้ค้นพบข้อมูล Insight เบื้องหลังว่า กว่า 40% ของสมาชิกกลุ่มนี้ ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมกับกีฬามากเท่าไหร่นัก

นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอเรื่องราวของนักกีฬาจากกลุ่ม LGBTQ+ ได้แก่ “Tom Daley” นักดำน้ำโอลิมปิก “Layshia Clarendon” นักบาสเกตบอลจาก WNBA และ “Jo Kokkinopliti” นักเตะจากทีม Stonewall FC London เพื่อสร้าง real connection กับผู้บริโภค

💄 Sephora : ใช้พลังชุมชนและข้อมูลจากลูกค้า สร้างพื้นที่ที่มีความหมาย

Sephora ได้สร้างพื้นที่ให้กับเมคอัปอาร์ทิสต์และอินฟลูเอนเซอร์ LGBTQ+ ผ่านแคมเปญในช่วง Pride Month ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอสอนแต่งหน้า การสัมภาษณ์ศิลปิน LGBTQ+ และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นพิเศษในธีม Pride

นอกจากนี้ยังมีการสร้างแคมเปญ “Trans is Beautiful” เพื่อสนับสนุนและสร้างพื้นที่ให้คนข้ามเพศโดยเฉพาะ

🎧 Spotify: ใช้ Data เชื่อมโยงกับตัวตนผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง

Spotify คัดสรรเพลย์ลิสต์และพอดแคสต์ในธีม Pride เพื่อเฉลิมฉลองให้กับศิลปินและผู้สร้างเนื้อหาที่เป็น LGBTQ+ รวมถึงเปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างเพลย์ลิสต์ในธีม Pride ของตัวเองได้ และแชร์เพลย์ลิสต์พร้อมภาพปกพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะช่วง Pride

การสนับสนุน LGBTQIA+ ต้องมากกว่าแค่ “โลโก้สีรุ้ง”

ต่อจากนี้ การแสดงจุดยืนในการสนับสนุนประชากรกลุ่มนี้ของธุรกิจและแบรนด์ต่าง ๆ อาจไม่ใช่เพียงแค่ “เปลี่ยนโลโก้เป็นสีรุ้ง” ในช่วง Pride Month เท่านั้น เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องการเห็นความจริงใจจากแบรนด์ในทุกมิติ เพราะจากผลสำรวจยังพบอีกว่า 71% ของผู้บริโภค LGBTQ+ มีแนวโน้มตอบสนองต่อโฆษณาออนไลน์มากขึ้น หากโฆษณานั้น สะท้อนตัวตนของพวกเขาอย่างจริงใจ เพราะลูกค้าสมัยนี้มองออกว่าอะไรคือการสนับสนุนที่แท้จริง

แต่ถึงแม้จะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีศักยภาพ แบรนด์หรือธุรกิจเองก็ต้องวางกลยุทธ์การตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketing) เพื่อความหลากหลายอย่างรอบคอบ เพราะการแสดงจุดยืนแบบขาดความเข้าใจ อาจก่อให้เกิดกระแสตีกลับ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้ากลุ่มอื่นได้ และควรหาจุดสมดุลระหว่างการแสดงจุดยืนกับความเสี่ยงทางภาพลักษณ์ที่ไม่ใช่แค่ในเดือน Pride เท่านั้น

ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “ความจริงใจ” ไม่ใช่แค่ในช่วง Pride Month แต่ตลอดทั้งปี และสามารถแยกออกได้ทันทีว่าอะไรคือ “การสนับสนุนจริง” กับอะไรคือ “Rainbow-Washing” หรือการเกาะกระแสเพื่อหวังยอดขายทำกำไร

ดังนั้น หากแบรนด์ตั้งใจเจาะตลาด LGBTQ+ อย่างจริงจังเพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ การค้นหา Insight ที่ลึกและแม่นยำ เพื่อเข้าถึงความต้องการของคนกลุ่มนี้อยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญ และนั่นต้องอาศัยทักษะ Data Analytics ที่ดีด้วยเช่นกัน

หากต้องการฝึกฝนทักษะด้าน Data Analytics ที่ True Digital Academy ได้ออกแบบหลักสูตร Data Ready Bootcamp สำหรับผู้ที่ต้องการก้าวสู่สายงาน Data Analyst โดยเฉพาะ เรียนรู้ครบทั้งพื้นฐานการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า การจัดการข้อมูล และการนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดเชิงกลยุทธ์ เพื่อเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค LGBTQ+ อย่างแท้จริง

📍 ดูรายละเอียด Data Ready Bootcamp | เรียน Data Analytics แบบเข้มข้น เพิ่มเติมได้ที่ https://www.truedigitalacademy.com/course/data-ready-bootcamp

——

Sources:
https://explorerresearch.com/pride-and-joy-how-brands-are-connecting-with-the-lgbt-community/
https://nickwolny.com/what-is-pink-money/
https://www.thedrum.com/news/2023/08/23/ana-study-shows-overwhelming-consumer-support-lgbtq-representation-advertising
https://www.taskus.com/blog/the-pink-economy-how-can-brands-and-tech-companies-support-it/