‘เงินแพง-ชีวิตแพง’ รับมืออย่างไร ในวันที่รายได้เสี่ยง แต่รายจ่ายพุ่ง?

‘เงินแพง-ชีวิตแพง’ รับมืออย่างไร ในวันที่รายได้เสี่ยง แต่รายจ่ายพุ่ง?

Business

4 Min

23 May 2025

Share

หรือโลกกำลังเข้าสู่ยุค ‘เงินแพง-ชีวิตแพง’ รับมืออย่างไร ในวันที่รายได้เสี่ยง แต่รายจ่ายกลับพุ่งสูงขึ้นจนอาจตั้งตัวไม่ทัน

ในช่วงที่ผ่านมา ความตึงเครียดทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ การขึ้นภาษีศุลกากรและมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่ ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าและบริการทั่วโลก

ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ “เงินแพง-ชีวิตแพง” แล้วหรือยัง?

ช่วงเดือนพฤษภาคม 2025 ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เริ่มกลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง เมื่อฝั่งสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศลดภาษีศุลกากรแบบ “พักชั่วคราว” ลงเหลือ 30% จากเดิม 145% และจีนตอบโต้ด้วยการลดภาษีลงเหลือ 10% จาก 125% เป็นเวลา 90 วัน

แม้จะดูเหมือนเป็น “ดีลสันติภาพ” แต่หลายฝ่ายมองว่า…นี่เป็นเพียงแค่การหยุดยิงระยะสั้นเท่านั้น

ราคาสินค้ากำลังจะเปลี่ยนโฉม

JPMorgan Chase & Co. คาดการณ์ว่า ภาษีเหล่านี้จะทำให้ครอบครัวชาวอเมริกันจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึง 2,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (หรือราว 100,000 บาท) สำหรับครัวเรือนทั่วไป ขณะเดียวกันราคาของใช้ประจำวันอย่างผัก ผลไม้ เสื้อผ้า อะไหล่รถยนต์ หรือแม้กระทั่งสมาร์ตโฟน ล้วนมีแนวโน้มจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

รวมถึงผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นอีกว่า กลุ่มคนรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้ใช้สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ไปกับ “ของจำเป็น” เช่น อาหาร สบู่ ยาสีฟัน แม้ราคาจะขึ้นแค่ 2-5% ก็ทำให้กระเป๋าฉีกได้ทันที

ไม่ใช่แค่ของแพง แต่งานอาจหาย รายได้อาจหด

แม้ทรัมป์จะชูธงว่า “ภาษีจะทำให้การผลิตกลับมาในประเทศ” แต่นักเศรษฐศาสตร์กลับเป็นกังวลว่า ธุรกิจจะลดคน ลดค่าใช้จ่าย เพราะรับภาระต้นทุนเพิ่มจากภาษีไม่ไหว

และแม้แต่กรณีที่บางสายงานอาจได้เงินเดือนสูงขึ้นจากการย้ายฐานผลิตกลับสหรัฐฯ แต่นักเศรษฐศาสตร์จากทำเนียบขาวก็ยังชี้ว่า ยังไม่มีความแน่นอนมากพอให้เอกชนกล้าลงทุนอยู่ดี

ในบทวิเคราะห์จากบทความในเว็บไซต์ The Economic Times ได้พูดถึงประเด็นนี้เอาไว้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สงครามการค้าทำให้ตลาดการเงินสั่นสะเทือน และทำให้ธุรกิจจำนวนมากเผชิญกับความไม่แน่นอน ขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์ก็เตือนถึงความเป็นไปได้ที่ เศรษฐกิจจะเติบโตช้าลง และความเหลื่อมล้ำจะเพิ่มขึ้น

รวมถึงภาษีศุลกากร คือ ภาษีที่เรียกเก็บกับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ เมื่อบริษัทซื้อสินค้าต่างประเทศก็จะต้องจ่ายภาษีเหล่านี้ด้วย ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งมักจะถูกผลักภาระมาที่ลูกค้า และภาษีเหล่านี้อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น

โดยเฉพาะครอบครัวรายได้น้อย จะเริ่มรู้สึกถึงราคา ‘สินค้าจำเป็นพื้นฐาน’ อย่างอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น แต่กลับมี ‘เงินออม’ ให้พึ่งพาน้อยกว่า ทำให้งบประมาณการใช้จ่ายตึงตัวมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

แล้วในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนแบบนี้ คนทั่วไปอย่างเรา ๆ ควรต้องเตรียมตัวอย่างไร?

คุณพร้อมรับมือกับยุค “เงินแพง-ชีวิตแพง” ได้แค่ไหน?

เงินสำรองฉุกเฉิน

ตามคำแนะนำของ Ramit Sethi เศรษฐีที่สร้างตัวเองจากศูนย์ ผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง “I Will Teach You to Be Rich” และ “Money for Couples” ได้กล่าวไว้ว่า

“ถ้าคุณยังไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน ก็ถึงเวลาต้องรีบแล้วล่ะ แปลว่า…ตอนนี้คุณต้องตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือยทิ้งไปก่อน ก่อนที่โลกจะบีบบังคับให้คุณต้องทำมันเอง”

โดยทั่วไปแล้วผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักแนะนำว่า เราควรมีเงินสำรองฉุกเฉินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตอย่างน้อย 3-6 เดือน แต่ Sethi แนะนำให้ตั้งเป้าสูงถึง 12 เดือน เพราะสถานการณ์เกี่ยวกับภาษีศุลกากรและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนนั้น อาจจะลากยาวและรุนแรงกว่าที่คิด ซึ่ง Sethi ได้แนะนำวิธีเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ 4 วิธี ได้แก่

➡️ 1. ลดหรือตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มเงินสำรองฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว โดยให้เช็กดูว่าคุณใช้เงินกับเรื่องฟุ่มเฟือยอะไรบ้าง และพยายามลดหรือตัดมันออก แม้ว่าผลกระทบของภาษีศุลกากรจะยังไม่ชัดเจนในตอนนี้ แต่การเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเป็นทางเลือกที่ฉลาด

➡️ 2. ชะลอหรือลดความถี่ของค่าใช้จ่าย

ถ้ากำลังจะตัดสินใจซื้อของชิ้นใหญ่ เช่น รถยนต์ บ้าน หรือไปเที่ยว อาจต้องกดปุ่ม “Pause” ไว้ก่อน หรือถ้าไม่แน่ใจว่าคิดดีแล้วหรือยัง ให้ลองถามตัวเองก่อนว่า

“ถ้าซื้อรถไป แล้วอีก 6 เดือนข้างหน้า เกิดตกงานขึ้นมา แผนสำรองของคุณคืออะไร?” โดย Sethi แนะนำว่า “คุณควรมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ ถ้ายังไม่มี ก็แปลว่ายังไม่พร้อมจะซื้อรถ”

รวมถึงในหมวดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น การดูแลตัวเอง ก็ให้ยืดระยะเวลาออกไปก่อนแทนที่จะตัดออกไปเลยถาวร เช่น ลดการตัดผมจากทุก 3 เดือน เป็นทุก 6 เดือน เป็นต้น

➡️ 3. พิจารณาการจ่ายหนี้ขั้นต่ำ

การตั้งใจที่จะจ่ายหนี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ แต่ Sethi ได้เสนอทางเลือกในการจ่ายหนี้ขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนดก่อนเพื่อรักษาเครดิต แล้วนำเงินส่วนที่เหลือไปเก็บไว้ในกองทุนฉุกเฉินแทน อาจเป็นเรื่องที่ควรพิจารณา แม้ว่าโดยปกติแล้ว Sethi จะไม่แนะนำให้ผ่อนปรนเรื่องการจัดการหนี้ก็ตาม แต่เขาได้บอกไว้ว่า “แม้แต่หนี้บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยสูง แต่การหยุดจ่ายเกินขั้นต่ำชั่วคราว ก็อาจเป็นทางเลือกที่จำเป็น ณ เวลานี้”

ยกตัวอย่างเช่น หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน เจ็บป่วย หรือต้องมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินอื่น ๆ คุณจะมีเงินเก็บไว้ใช้ โดยไม่ต้องกู้เพิ่มหรือใช้บัตรเครดิตซ้ำอีก

➡️ 4. ลดการลงทุนลงชั่วคราว

หากคุณยังไม่มีเงินสำรองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย 12 เดือน อาจจำเป็นต้องพิจารณาลดการลงทุนลงชั่วคราว

เพราะโลกไม่เหมือนเดิม และคุณต้องไม่ใช้เงินแบบเดิม อาจะเหนื่อยนิดหน่อยถ้าเริ่มตอนนี้ แต่ถ้ารอจนโลกบังคับให้เปลี่ยน จะกลายเป็นความเหนื่อยที่มากขึ้น และอาจเจ็บตัวหนักกว่าก็เป็นได้

ไม่ว่าภาษีจะอยู่หรือไป ไม่ว่าเศรษฐกิจจะโตหรือตกต่ำ แต่ตราบใดถ้าคุณมี เงินสำรองฉุกเฉิน และวินัยการเงินที่ยืดหยุ่น คุณจะมีอาวุธติดตัวเพื่ออยู่รอดในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

——

Sources: apnews.com, cnbc.com, economictimes.indiatimes.com, thansettakij.com, ramitsethi

——
📌 สนใจ Corporate In-House Training ยกระดับทักษะองค์กรด้วย AI-People Enablement Solutions
ติดต่อ [email protected]
หรือโทร 082-297-9915 (คุณโรส)
——